วัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการแบ่งส่วนตลาดผู้บริโภคที่มีจิตสำนึกของการบริโภคอย่างยั่งยืนในอำเภอเมืองเชียงใหม่ และศึกษาลักษณะของผู้บริโภคที่มีจิตสำนึกของการบริโภคอย่างยั่งยืนแต่ละกลุ่ม เก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 350 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลคือแบบสอบถามที่ประกอบด้วยคำถามเกี่ยวกับจิตสำนึกของการบริโภคอย่างยั่งยืน 3 มิติ คือ จิตสำนึกทางด้านสิ่งแวดล้อม จิตสำนึกทางด้านสังคม และจิตสำนึกทางด้านเศรษฐกิจ ข้อมูลที่รวบรวมได้ถูกวิเคราะห์ด้วยการวิเคราะห์ตัวประกอบ (Factor Analysis) และการวิเคราะห์กลุ่ม (Cluster Analysis) เพื่อแบ่งส่วนผู้บริโภคออกเป็นกลุ่ม ผลการศึกษาและการวิเคราะห์พบว่า สามารถจัดองค์ประกอบการวัดจิตสำนึกของการบริโภคอย่างยั่งยืนของผู้บริโภคในอำเภอเมืองเชียงใหม่ได้ 7 องค์ประกอบ คือ จิตสำนึกต่อสังคม จิตสำนึกที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม จิตสำนึกของการตระหนักถึงการปราศจากหนี้สิน จิตสำนึกด้านการบริโภคอย่างประหยัดและคุ้มค่า จิตสำนึกในการวางแผนทางการเงินในระยะยาว จิตสำนึกการไม่บริโภคร่วมกับคนอื่น และจิตสำนึกของความพอเพียง และสามารถแบ่งกลุ่มผู้บริโภคออกได้เป็น 3 กลุ่ม กลุ่มที่ 1 คือ กลุ่มมีจิตสำนึกของการบริโภคอย่างยั่งยืน (ร้อยละ 56) กลุ่มที่ 2 กลุ่มไม่สนใจการบริโภคอย่างยั่งยืน (ร้อยละ 17) และกลุ่มที่ 3 กลุ่มเริ่มมีจิตสำนึกของการบริโภคอย่างยั่งยืน (ร้อยละ 27) โดยกลุ่มผู้บริโภคทั้ง 3 กลุ่มมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ ในลักษณะประชากรศาสตร์ด้านอายุ สถานภาพสมรส จำนวนบุตร ระดับการศึกษาสูงสุด อาชีพ และรายได้เฉลี่ยต่อเดือน กลุ่มมีจิตสำนึกของการบริโภคอย่างยั่งยืน (กลุ่มที่1) เป็นกลุ่มที่มีความตั้งใจในการบริโภคโดยคำนึงถึงผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และเศรษฐกิจ ครบทั้ง 3 มิติ แต่กลุ่มนี้พร้อมจะเป็นหนี้สินเพื่อซื้อสินค้า กลุ่มไม่สนใจการบริโภคอย่างยั่งยืน (กลุ่มที่ 2) กลุ่มนี้บริโภคโดยไม่ได้คำนึงถึงผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม และสังคมอยู่เลย แต่มีการวางแผนทางการเงินในระยะยาวอยู่บ้าง และบริโภคอย่างพอเพียงในระดับปานกลาง สุดท้ายคือ กลุ่มเริ่มมีจิตสำนึกของการบริโภคอย่างยั่งยืน (กลุ่มที่ 3) เป็นกลุ่มที่บริโภคโดยเริ่มคำนึงถึงผลกระทบ ทั้ง 3 มิติ โดยเฉพาะมิติด้านสังคม และการบริโภคโดยปราศจากหนี้สิน แต่กลุ่มนี้ไม่มีการวางแผนการใช้เงินในระยะยาว และไม่ให้ความสำคัญกับการบริโภคอย่างพอเพียง

การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อหาตัวบ่งชี้คุณภาพสารสนเทศที่สามารถนำมาใช้ในการประเมินคุณภาพสารสนเทศบนเว็บไซต์พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ โดยแนวทางของการวิจัยนี้ ได้ให้ความสำคัญกับความคิดเห็นและความต้องการของผู้ใช้ในประเทศไทย จากธุรกิจค้าปลีกและธุรกิจบริการที่พัก ผู้วิจัยดำเนินการวิจัยโดยใช้รูปแบบการวิจัยแบบผสมผสาน ได้แก่ (1) วิจัยเชิงคุณภาพ โดยได้วิเคราะห์โครงสร้างและเนื้อหาของเว็บไซต์และวิเคราะห์พฤติกรรมการใช้สารสนเทศ จากผู้บริโภคที่มีประสบการณ์ 30 คน และผู้เชี่ยวชาญ 5 คนและ (2) วิจัยเชิงปริมาณ โดยนำรายการคุณลักษณะที่ได้จากการวิจัยเชิงคุณภาพมายืนยันด้วยข้อมูลเชิงประจักษ์ ด้วยการใช้แบบสอบถามออนไลน์ ซึ่งมีผู้บริโภคที่มีประสบการณ์จำนวน 595 คนที่ตอบแบบสอบถาม และนำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยัน ผลการวิจัยเชิงคุณภาพพบว่าผู้บริโภคส่วนใหญ่เลือกใช้เว็บไซต์ประเภทตลาดกลางพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ เมื่อวิเคราะห์รายการสารสนเทศบนเว็บเหล่านี้ พบว่าประกอบด้วยรายการสารสนเทศเชิงพาณิชย์และไม่ใช่เชิงพาณิชย์ รวมถึงสารสนเทศเพื่อการดำเนินธุรกรรม โดยมีการจัดวางโครงสร้างสารสนเทศและระบบนำทางที่เอื้อต่อผู้บริโภคในการเข้าถึงและใช้งานสารสนเทศได้ง่าย สะดวกและรวดเร็ว โดยคำนึงถึงความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูล และได้รายการคุณลักษณะของคุณภาพสารสนเทศรวม 68 รายการ ซึ่งได้นำไปใช้ในการออกแบบแบบสอบถามออนไลน์ สำหรับการวิจัยเชิงปริมาณ เมื่อนำข้อมูลที่ได้จากการสำรวจโดยใช้แบบสอบถามออนไลน์มาวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยัน (CFA) ได้ผลสรุปโดยรวมว่า ทั้งธุรกิจค้าปลีกและธุรกิจบริการที่พักผู้บริโภคจะแสวงหาเว็บไซต์จากเพื่อนหรือค้นหาด้วยตนเองจาก Google โดยเลือก URL ที่ปรากฏในลำดับต้นๆ จากนั้นจะเข้าไปพิจารณาหรือประเมินความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์เป็นลำดับแรก โดยพิจารณาข้อมูลของตัวเว็บไซต์นั้นๆ ได้แก่ ความมีชื่อเสียง ประสบการณ์ทางธุรกิจ การรับรองจากหน่วยงานที่น่าเชื่อถือ นโยบายต่างๆ และความพึงพอใจและข้อความรีวิวจากผู้ที่เคยซื้อหรือใช้บริการ ส่วนการพิจารณาคุณภาพสารสนเทศพบว่าผู้บริโภคให้น้ำหนักกับคุณภาพสารสนเทศที่อยู่ในกระบวนการสั่งซื้อสินค้าและกระบวนการชำระเงินมากที่สุด ซึ่งประกอบด้วยตัวบ่งชี้คุณภาพ 5 ตัว ได้แก่ ด้านความถูกต้อง ความครบถ้วน การเข้าถึงสารสนเทศหรือการใช้งานได้ความมั่นคงปลอดภัยของสารสนเทศ และความคงเส้นคงวาหรือมีความแนบนัย สำหรับรายการคุณลักษณะของตัวบ่งชี้คุณภาพที่มีค่าเฉลี่ยสูงในกลุ่มธุรกิจค้าปลีก คือ ความถูกต้องของการคำนวณยอดรวมสินค้า ส่วนในกลุ่มธุรกิจบริการที่พัก คือ ความถูกต้องของการจัดหมวดหมู่ที่พัก

งานวิจัยเชิงคุณภาพชิ้นนี้ศึกษาร้านอาหารสัญชาติไทยแห่งหนึ่งว่าสามารถขับเคลื่อนการมีส่วนร่วมของพนักงานในการสร้างความพึงพอใจให้แก่ลูกค้าผ่านการสื่อสารภายในได้อย่างไร การศึกษาลงรายละเอียดถึงกลไกที่บริษัทใช้สื่อสารประเด็นที่มีลูกค้าเป็นศูนย์กลางไปถึงพนักงาน เหตุใดการสื่อสารภายในจึงนำมาซึ่งการมีส่วนร่วมของพนักงานที่เน้นลูกค้าเป็นสำคัญให้แก่องค์กรได้ ตลอดจนแนวทางในการเอาชนะอุปสรรคที่มีต่อการสื่อสารภายใน วิธีการเก็บข้อมูลส่วนใหญ่ประกอบด้วยการสัมภาษณ์เชิงลึกผู้บริหารระดับสูง 5 ท่าน และการสนทนากลุ่ม 4 กลุ่ม แต่ละกลุ่มมีพนักงาน 5 ท่าน ผลการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพแสดงให้เห็นว่า รูปแบบการสื่อสารออฟไลน์ที่จำเป็นอย่างยิ่ง ได้แก่ การเป็นแบบอย่างที่ดีของผู้บริหารสูงสุดในฐานะผู้ที่กระตือรือร้นต่อการสร้างความพึงพอใจให้แก่ลูกค้าอย่างแรงกล้า สถาบันฝึกอบรม การสอนเคลื่อนที่ การประชุมแบบเห็นหน้าอย่างไม่เป็นทางการ ขณะที่อีเมลและไลน์เป็นช่องทางการสื่อสารออนไลน์ที่ใช้ได้ผลเฉพาะกลุ่มพนักงานระดับบริหาร เพื่อขับเคลื่อนการมีส่วนร่วมของพนักงานในกิจกรรมที่มีลูกค้าเป็นศูนย์กลางและเอาชนะอุปสรรคต่อการสื่อสารภายใน บริษัทใช้กลไกและกลยุทธ์การสื่อสาร อาทิ การใช้โครงการไคเซ็นและการประชุมกลุ่มอิ่มใจในฐานะการสื่อสารสองทาง การส่งข้อความที่ชัดเจนและง่ายต่อความเข้าใจถึงพนักงาน การทำเนื้อหาที่เน้นผู้ฟังอย่างแท้จริงโดยใช้แนวคิด WIIFM กรอบการสื่อสารที่นำเสนอในการศึกษานี้สามารถใช้ต่อยอดงานวิจัยด้านการสื่อสารและองค์การ ตลอดจนใช้เป็นแนวทางสำหรับนักสื่อสารองค์กรในการออกแบบกลยุทธ์การสื่อสารภายในเพื่อขับเคลื่อนการมีส่วนร่วมของพนักงานในประเด็นต่าง ๆ ทางธุรกิจได้